ประเทศอาเซียน

ประเทศอาเซียน
สนใจโปรแกรมเที่ยวอินโดจีน ลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม

ประเทศอาเซียน

ประเทศอาเซียน
สนใจโปรแกรมเที่ยวอินโดจีน กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในกัมพูชา


ท่องเที่ยวยอดฮิต





กรุงพนมเปญ

เป็นเมืองหลวงของประเทศกัมพูชา และยังเป็นเมืองหลวงของนครหลวงพนมเปญด้วย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า ไข่มุกแห่งเอเชีย (เมื่อคริสต์ทศวรรษ 1920 พร้อมกับเมืองเสียมราฐ) นับเป็นเมืองที่เป็นเป้าการท่องเที่ยวทั้งจากผู้คนในประเทศ และจากต่างประเทศ พนมเปญยังมีชื่อเสียงในฐานะที่มีสถาปัตยกรรมแบบเขมรดั้งเดิม กรุงพนมเปญ เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยจังหวัดกันดาล และเป็นเมืองศูนย์กลางการค้า การเมือง และวัฒนธรรมของกัมพูชา

 เมืองหลวงของกัมพูชาแห่งนี้อุดมไปด้วยสวนและต้นไม้นานาชนิด นอกเหนือไปจากบ้านเรือนที่หลงเหลือมาจากยุคอาณานิคมที่ดูเหมือนอยู่ท่ามกลาง เมืองเก่าของฝรั่งเศส บรรยากาศแสนสบายของเมืองที่ห้อมล้อมไปด้วยสายน้ำ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองท่าแห่งสุดท้ายอันยิ่งใหญ่”

เสียมเรียบ

จังหวัดเสียมเรียบอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือกัมพูชา เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำคัญของกัมพูชาเนื่องจากเป็นเมืองที่ใกล้กับโลกวัดที่มีชื่อเสียงของอังกอร์ (อังกอร์วัดซับซ้อนทางตอนเหนือของเมือง) เมืองหลวงจังหวัดคือเรียกว่าเสียมเรียบและตั้งอยู่ในภาคใต้ของจังหวัดบนชายฝั่งของมากมายในอดีต SAP ทะเลสาบสำรองน้ำหวานมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด ชื่อของเมืองอย่างแท้จริงหมายถึง "สยามพ่ายแพ้" 



    ปราสาทนครวัด (Angkor wat) เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร  ปราสาทนครวัดได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม 
และปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอมในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดสู่สายตาชาวโลกนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา ที่จริงชาวกัมพูชาไม่เคยละทิ้งนครวัดไปเพราะหลังจากมีการย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่พนมเปญแล้ว ชาวบ้านก็ได้เขาไปตั้งรกรากภายในเขตนครวัดเรื่อยมา ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
  •           ขนาดและการก่อสร้าง ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ  ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงากเกนคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้างปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี

หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาท




  •           รูปสลักและงานประติมากรรม  ทางด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทนั้น มีความยาวกว่า 800 เมตร มีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดก็คือรูปที่เทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ และยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกถึง 1,635 นาง ที่ทั้งหมดแต่งกายและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย มีภาพจำหลักหินด้านหนึ่งเป็นภาพกองทัพสยาม ที่ส่งไปช่วยรบกับพวกจามมีอักษรจารึกไว้ว่า สยำ กุกปัจจุบันถูกเอาออกไปแล้วน่าจะหมายถึงกองทัพสยามจากลุ่มแม่น้ำกก คือกำลังที่มาจากเมืองเชียงราย เมืองเชียงแสนหรือจากสุพรรณบุรี และคำว่า โลวสันนิษฐานว่าเป็นกองทัพจากเมืองละโว้





          เมืองพระนครหลวง (Angkor Thom) สร้างเมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 17 ศิลปะแบบบายน ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินทางมาเยี่ยมชมเมืองพระนครหลวง  และนับตั้งแต่ก้าวแรกที่จะต้องเดินผ่านช่องปประตูทางเข้าด้านทิศใต้เป็นที่ต้องตื่นตะลึงกับความโฮฬารของหินทรายที่สลักเป็นรูปพระพักต์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร  ซึ่งสลักไว้ทั้งสี่ทิศ  ด้วยสายตาที่ทอดมองลงมายังที่ต่ำและรอยยิ้มที่เป็นสุข หรือยื้มแบบบายนที่เปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณา ทำให้ผู้พบเห็นมิอาจละสายตาไปได้ง่ายๆ ส่วนด้านล่างของกรอบประตูก็จะพบกับประติมากรรมลอยตัวพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ  3  เศียร  คอยต้อนรับอาคุนตุกะจากแดนไกลอีกเช่นกัน




          ปราสาทพนมบาแค็ง (Bakheng) ตั้งอยู่บนเขาลูกเล็ก  มีชื่อเรียกในสมัยก่อนว่าปราสาทพนมกุนดาล  ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างปราสาทพนมกรอม  กับปราสาทพนมบก  ซึ่งอยู่บนภูเขาขนาดใกล้เคียงกันต่อมาเรียกปราสาทนี้ว่าปราสาทพนมบาแค็งตามลักษณะของต้นบาแค็ง (คล้ายต้นมะขาม)  ที่มีอยู่มากในบริเวณภูเขานี้  ชื่อของปราสาทดั้งงเดิมจริงๆนั้นเรียกว่าปราสาทยโธระปุระ  คือใช้ชื่อของพระเจ้ายโวรมันที่ 1 ตัวปราสาทอยู่ใจกลางยอดเขาปราสาทพนมบาแค็งจำลองลักษณะมาจากปราสาทบากอง  มีสถาปัตยกรรมคล้ายกัน  ตัวปราสาทนั้นตั้งอยู่บนเขา  จึงเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม  โดยเฉพาะยอกปราสาทนครวัดผุดขึ้นกลางป่า  ในยามบ่ายที่แสงแดดสาดส่องเข้าปรางค์ปราสาทนครวัดทำให้เป็นสีทองสวยงามมาก



        ปราสาทปักษีจำกรง (Baksi Chamkrong) ตัวปราสาทปักษีจำกรง  มีฐานเป็นศิลาแลงมีลักษณะดีไม่มีรูพรุน  เสาประดับกรอบประตู  และทับหลังทั้ง 4 ด้านทำด้วยหินทรายสลักภาพลวดลายสวยงาม  ลวดลายที่กรอบประตูและทับหลัง  เป็นเทพพนมบนกลีบดอกบัว  ทับหลังสลักรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ  บริเวณผนังปราสาทสลักเป็นรูปนางอัปสร  และที่กรอบประตูด้านข้างมีอักษรภาษาสันสกฤตจารึกเรื่องราวประวัติการสร้างปราสาท




          ทะมอ  บายกะแอก  (Thama Bay Kaek)  ตั้งอยู่ด้าหน้าของปราสาทเบย  ซึ่งสร้างอยู่ในยุคเดียวกัน  ศิลปะแบบบาแค็ง 
 ปัจจุบันแทบไม่เหลือโครงร่างแล้ว  มีเพียงหลักฐานของอิฐ  และมีศิวลึงค์อยู่บนฐานนนั้น  ความหมายของสิ่งก่อสร้างแห่งนี้มาจากชื่อของอีกา



          ปราสาทเบย (Prasat Beiภายในปรางค์ประธานมีแท่นศิวลึงค์ตั้งอยู่  ที่ทับหลังของปรางค์ประธานมีภาพสลักพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณการก่อสร้างปราสาทในสมัยก่อนยุคบายน คือ สมัยบาปวน คลัง บันทายสรี และนครวัด นิยมใช้อิฐมาสร้างเป็นปราสาท นักโบราณคดียังไม่เข้าใจว่าการสร้างปราสาทด้วยอิฐนั้นมีการใช้อิฐที่เผาแล้วมาเรียงก่อรูปขึ้น หรือใช้อิฐที่ยังไม่เผามาเรียงเมื่อก่อรูปทรงปราสาทแล้วจึงเผา แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าใช้อิฐที่เผาแล้วมาเรียงกันแล้วใช้กาวยางจากส่วนผสมของวัสดุธรรมชาติหลายชนิดเช่น น้ำผึ้ง น้ำตาลโตนด จอมปลวก ฯลฯ มาเชื่อมต่อกันซึ่งอาจเป็นได้เพราะหากนำอิฐที่ยังไม่เผามาก่อสร้างอาจทำให้ปราสาทยุบตัว หรือทำให้ปราสาทเอียงได้ปราสาทนี้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจเที่ยวชม เพราะเป็นปราสาทเล็กๆ อยู่ริมถนนทางผ่านเข้าไปยังประตูเมืองพระนครหลวงทิศใต้ก่อนถึงปราสาทบายน


          
          นครธม (Angkor Thom) นั้นมีความหมายว่าเมืองใหญ่( ธม แปลว่า ใหญ่ ) ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินทางมาเยี่ยมชมเมืองพระนครหลวง และนับตั้งแต่ก้าวแรกที่จะต้องเดินทางผ่านช่องประตูทางเข้าด้านทิศใต้เป็นต้องตื่นตะลึงกับความโอฬารของหินทรายที่สลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งสลักไว้ทั้งสี่ทิศ ด้วยสายตาที่ทอดมองลงมายังที่ต่ำและรอยยิ้มที่เป็นสุข หรือยิ้มแบบบายนที่เปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณา ทำให้ผู้ที่พบเห็นมิอาจละสายตาไปได้ง่ายๆ ส่วนด้านข้างของกรอบประตูก็จะพบกับประติมากรรมลอยตัวพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียร คอยต้อนรับอาคันตุกะจากแดนไกลอีกเช่นกัน สองข้างทางของสะพานที่ทอดข้ามคูเมือง ด้านซ้ายเป็นศิลาทรายสลักลอยตัวของเหล่าเทวดาฉุดตัวนาค ส่วนด้านขวาเป็นบรรดายักษ์กำลังฉุดดึงลำตัวพญานาคอยู่เช่นกัน ทั้งภาพสลักเทวดา นาค และยักษ์ นิยมนำมาใช้กันมากในศิลปะยุคบายนนี้ เมืองพระนครหลวงนับได้ว่าเป็นราชธานีแห่งใหม่ที่ย้ายมาจากนครยโศธรปุระที่มีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 อันเป็นพระราชดำริของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ประสงค์จะขยายอาณาจักรขอมให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเมืองพระนครหลวงมีคูเมืองล้อมรอบกว้างประมาณ 80 เมตร แต่ละด้านมีความยาวถึง 3 กิโลเมตร และมีกำแพงล้อมทั้ง 4 ด้านด้วยเช่นกัน มีพื้นที่มากถึง 9 ตารางกิโลเมตร หรือ 5625 ไร่ กำแพงแต่ละด้านก่อด้วยศิลาแลงสูง 7 เมตร ประตูทางด้านทิศใต้ของเมืองพระนครหลวงจัดได้ว่ายังมีความสมบูรณ์ของรูปประติมากรรมลอยตัวของเทวดาและยักษ์ยื้อยุดฉุดนาคเพื่อกวนเกษียรสมุทร อันเป็นตอนเริ่มต้นจากนิยายปรัมปราที่พวกพราหมณ์เล่าถึงตอนกำเนิดโลกมนุษย์และจักรวาล


          
          ปราสาทบายน  (The Bayon) เป็นปราสาทหลวงประจำรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับว่าเป็นการปฏิวัติรูปแบบของการสร้างปราสาทที่มีภาพลักษณ์ต่างจากการสร้างรูปแบบเดิมๆ โดยสิ้นเชิง เป็นเพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา นิกายมหายานอย่างยิ่ง ต่างจากกษัตริย์หลายพระองค์ที่ล้วนแล้วแต่นับถือศาสนาฮินดูหรือสาสนาพราหมณ์ที่สืบทอดมากว่า 415 ปี ในยุคสมัยพระนครปราสาทบายนถูกสร้างโดยการนำหินมาวางซ้อนๆ กันขึ้นเป็นรูปร่าง แม้จะเป็นปราสาทไม่ใหญ่โตเท่ากับนครวัด แต่มีความแปลกและดูลี้ลับ ทั้งปราสาทมีแต่ใบหน้าคนหากขึ้นไปยืนอยู่ภายในปราสาทนี้ ไม่ว่ามุมไหนก็หาได้รอดหลุดพ้นจากสายตาเหล่านี้ได้เลยนักเดินทางรุ่นเก่าที่เดินทางมายังปราสาทบายนรุ่นแรกๆ เช่นนายปิแอร์ โลตี ได้บันทึกไว้ว่า    ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปยังปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุม ซึ่งทำให้ ตัวเองรู้สึกเหมือนคนแคระ และทันทีบันได เลือดในตัวข้าพเจ้าก็เกิดเย็นแข็งขึ้นมา เมื่อมองเห็นรอยยิ้มขนาดมหึมาที่กำลังมองลงมายังข้าพเจ้า แล้วก็รอยยิ้มอีกด้านหนึ่งเหนือกำแพงอีกด้านหนึ่ง แล้วก็รอยยิ้มที่สาม แล้วก็รอยยิ้มที่ห้า แล้วก็ที่สิบ ปรากฏจากทั่วสารทิศ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีตาคอยจ้องมองอยู่ทุกทิศทาง ลองเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศ ที่นายปิแอร์ โลตี ภายในปราสาทบายนกันเลย




ปราสาทบาปวน( Bapuon)


         จัดเป็นปราสาทแรกในกลุ่มปราสาทเมืองพระนคร มีทางเดินเข้าสู่ตัวปราสาทเป็นสะพานหินยกระดับทอดยาวทางเดินเข้าผ่านโคปุระรูปกากบาท 3 หาง ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่ตั้งของปราสาทอยู่ภายในเขตพระราชวังหลวง เป็นปราสาทที่มียอดสูง มีหลักฐานจากบันทึกของ จิวด้ากวนราชทูตจากเมืองจีนในปลายพุทธสตวรรษที่ 18 กล่าวไว้ว่ายอดปราสาทบาปวนเคลือบด้วยสัมฤทธิ์แลอร่ามแต่ไกล หากยอดไม่หักพังเสียก่อน คาดว่าปราสาทบาปวนอาจมีความสูงกว่าปราสาทพิมานอากาศซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน ปัจจุบันปราสาทนี้ทรุดโทรมมากและกำลังได้รับการบูรณะอยู่อย่างต่อเนื่อง



สระสรง



           เป็นสระที่มีน้ำขังนับพันปีแล้ว  มีภูมิประเทศสวยงาม  หลังจากเที่ยวชมปราสาทบันทายกเดยแล้ว  ทางออกจากทิศตะวันตกนำสู่สระสง  เดินไปเยี่ยมชมได้เลย  ท่าของสระสรงสร้างขึ้นจากหินทราย  มีบันไดลงไปถึงพื้นน้ำ  หันหน้าไปทางทิศตะวันออก  จุดประสงค๋ของการสร้างสระสรงเพื่อเป็นศาสนสถานพร้อมกับปราสาทบันทายกเดย  ในสมัยรัชกาลที่ 7


ศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบ

มีพื้นที่ทั้งหมด 210,000 ตารางเมตร ภายในมีห้องจัดแสดงติดแอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำนำเสนอเรื่องราวประวัติความเป็นมาอันรุ่งเรืองของอาณาจักรขอมโบราณตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยมีภาพรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งนำเสนอเป็นรูปจำลองการสร้างมหาปราสาทนครวัด,ภาพกองทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงทำสงครามกับพวกจาม,ภาพเจ้านโรดมสีหนุอดีตกษัตริย์กัมพูชาเคียงคู่อยู่กับเจ้าหญิงโมนิคพระชายา,ภาพของจูตากวนราชทูตจากจีนที่เดินทางเข้ามาเป็นทูตอยู่ในอาณาจักรขอมและต่อมาได้เขียนบันทึกเรื่องราวความเป็นมาในอาณาจักรขอมเป็นคนแรกตลอดจนภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขมรในอดีตที่ผ่านมารูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งแต่ละรูปให้ความรู้สึกที่เหมือนมีชีวิตจริงๆ

ส่วนบริเวณพื้นที่ภายนอกโดยรอบของศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบยังย่อส่วนสถานที่สำคัญในประเทศกัมพูชามาจัดแสดงให้ผู้ที่เดินทางมาเที่ยวชมได้ชม อาทิเช่น พระบรมมหาราชวังในกรุงพนมเปญ,เจดีย์วัดพนม,เจดีย์บนยอดเขาอุดงมีชัย,ตลาดซาทำมัยหรือตลาดรัสเซีย,อนุสาวีย์แห่งสันติภาพที่ตั้งอยู่กลางวงเวียนใจกลางกรุงพนมเปญ ฯลฯนอกจากนี้ภายในศูนย์วัฒนธรรมเมืองเสียมเรียบยังจัดแสดงขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศกัมพูชา เช่น พิธีแต่งงาน,บวชพระ และการแสดงประเพณีวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาที่มีอยู่ถึง 19 ชนเผ่าการแสดงของแต่ละชนเผ่าน่าดูน่าชมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการแสดงของชนเผ่าต่างๆ 



ด่านสากลปอยเปต ด่านข้ามแดน จากประเทศไทยที่อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว สู่ปอยเปต แหล่งคาสิโนชื่อดังแห่งกัมพูชา นอกจากนั้น ด่านนี้ยังเป็นด่านผ่านเข้าออกของพ่อค้าชาวไทย และกัมพูชาที่จะนำสินค้ามาจำหน่ายยัง ตลาดโรงเกลือที่ทุกคนรู้จักอีกด้วย


แหล่งที่มาของข้อมูล
 - http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น